ผลกระทบของรายการค้าที่มีต่อสมการบัญชีและฐานะการเงิน
สมการบัญชี
สินทรัพย์ = หนี้สิน +
ส่วนของเจ้าของ
กระดาษวิเคราะห์รายการ
กระดาษวิเคราะห์รายการเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์รายการค้าที่เกิดขึ้นว่ามีผลกระทบต่อสมการบัญชีลักษณะของกระดาษวิเคราะห์รายการจะมีหัวกระดาษแสดงชื่อกิจการชื่อกระดาษวิเคราะห์รายการ
และวันเดือนปีที่จัดทำ ในตัวกระดาษจะแบ่งเป็น 2 ด้าน ตามสมการบัญชี คือ ด้านสินทรัพย์ กับด้านหนี้สินและส่วนของเจ้าของ
และแบ่งเป็นช่องตามจำนวนชื่อบัญชีดังนี้
สินทรัพย์
= หนี้สิน
+ ส่วนของเจ้าของ
+ รายได้
- ค่าใช้จ่าย
- รายการประเภทสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายมียอดคงเหลือปกติทางด้านเดบิต ดังนั้น
ถ้าเดบิตบัญชีทั้งสองประเภท หมายถึง บวกหรือเพิ่ม แต่ถ้าเครดิต หมายถึง หักหรือลด
- รายการประเภทหนี้สิน ส่วนของเจ้าของ และรายได้มียอดคงเหลือปกติด้านเครดิต
ดังนั้น ถ้าเดบิตบัญชีทั้ง 3 ประเภท หมายถึง
หักหรือลด แต่ถ้าเครดิต หมายถึง บวกหรือเพิ่ม
ตารางที่ 2.1 สรุปหลักของเดบิต และเครดิต
ประเภทบัญชี
|
เพิ่มขึ้น
|
ลดลง
|
ยอดคงเหลือปกติ
|
สินทรัพย์
หนี้สิน
ส่วนของเจ้าของ
รายได้
ค่าใช้จ่าย
|
เดบิต
เครดิต
เครดิต
เครดิต
เดบิต
|
เครดิต
เดบิต
เดบิต
เดบิต
เครดิต
|
เดบิต
เครดิต
เครดิต
เครดิต
เดบิต
|
หลักการบัญชีคู่ (Double
– Entry Concept)
หมายถึง
หลักการบันทึกผลกระทบของรายการค้าหนึ่งๆ ที่มีต่อสินทรัพย์ หนี้สิน
และส่วนของเจ้าของ
และเป็นการบันทึกรายการเดบิตและเครดิตนั้นต้องให้จำนวนเงินที่บันทึกในบัญชีทั้ง 2
ด้านเท่ากันเสมอซึ่งเรียกว่าระบบบัญชีคู่
ซึ่งตามระบบบัญชีคู่นั้นไม่จำเป็นที่จำนวนรายการทั้ง 2
ด้านต้องเท่ากันเพียงแต่ยอดรวมของจำนวนเงินทั้งด้านเดบิตและเครดิตต้องเท่ากันเท่านั้น
ขั้นตอนการบันทึกบัญชีและการวิเคราะห์รายการค้า
1. การบันทึกรายการค้าในสมุดบันทึกรายการขั้นต้น
เรียกว่า สมุดรายวัน (Journal) โดยเรียงลำดับตามวันที่ที่เกิดรายการค้า
ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 สมุดรายวันทั่วไป (General
Journal) เป็นสมุดบันทึกรายการขั้นต้นที่บันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
รวมทั้งการปรับปรุงรายการ การเปิดบัญชี การปิดบัญชี การกลับรายการ
ลักษณะของสมุดรายวันทั่วไป มีดังนี้
1.2 สมุดรายวันเฉพาะ (Special
Journal) เป็นสมุดบันทึกรายการขั้นต้นที่ใช้บันทึกแต่ละรายการค้าโดยเฉพาะตามประเภทที่ระบุไว้
โดยบันทึกรายการที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไว้ด้วยกัน
หากมีรายการค้าเกิดขึ้นที่ไม่ใช่ประเภทเดียวกับที่จะสามารถบันทึกไว้ในสมุดรายวันเฉพาะแต่ละเล่มได้ก็จะบันทึกไว้ในสมุดรายวันทั่วไป
สมุดรายวันเฉพาะได้แก่
- สมุดรายวันรับเงิน
- สมุดรายวันจ่ายเงิน
- สมุดรายวันซื้อ
- สมุดรายวันขาย
การบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไป
ช่องที่ 1 ช่อง วัน เดือน ปี ใช้สำหรับบันทึก วัน เดือน ปี ที่เกิดรายการนั้นๆ
ช่องที่ 2 ช่องรายการ ใช้สำหรับบันทึกบัญชี และอธิบายรายการค้าที่เกิดขึ้น
ช่องที่ 3 ช่องอ้างอิง ใช้สำหรับบันทึกเลขที่บัญชี หรือหน้าบัญชีที่ผ่านบัญชี
ช่องที่ 4 และช่องที่ 5 ช่องเดบิต และช่องเครดิต ใช้สำหรับบันทึกจำนวนเงินด้านเดบิต หรือเครดิต
สมุดบัญชีแยกประเภท (Ledger)
เป็นบัญชีที่ใช้ในการบันทึกรายการค้าที่เหมือนกันมาบันทึกไว้ด้วยกัน
เพื่อจะรวมยอดคงเหลือของรายการนั้นๆ ในงวดเวลาใดเวลาหนึ่งที่จัดทำงบการเงิน
ซึ่งทำต่อจากสมุดรายวันเพื่อใช้ในการผ่านบัญชีมาจากสมุดรายวันทั่วไป
บัญชีแยกประเภทมีหลายรูปแบบคือ
1. บัญชีแยกประเภทรูปตัวที
2. บัญชีแยกประเภทชนิดแบ่งเป็น 3 ช่อง
3. บัญชีแยกประเภทชนิดแบ่งเป็น 4 ช่อง
ตัวอย่างตารางบัญชีแยกประเภทรูปตัวที
ชื่อบัญชี
แสดงชื่อรายการค้าที่นำมาบันทึกบัญชีที่ต้องการจะรวมยอดคงเหลือ
เลขที่บัญชี แสดงเลขที่บัญชีที่ได้กำหนดไว้จากชื่อบัญชี
เดบิต เป็นรายการทางด้านซ้ายมือของบัญชีแยกประเภท
เครดิต เป็นรายการทางด้านขวามือของบัญชีแยกประเภท
วัน เดือน ปี แสดงวันที่ที่เกิดรายการที่ผ่านบัญชีมา
รายการ แสดงชื่อบัญชีที่บันทึกตรงกันข้ามกันไว้
อ้างอิง แสดงเลขที่หน้าของสมุดรายวันทั่วไปที่รายการค้าที่นำมาผ่านในบัญชีแยกประเภทได้บันทึกไว้ในสมุดรายวันทั่วไป
จำนวนเงิน แสดงจำนวนของรายการค้าแต่ละรายการที่ผ่านมาจากสมุดรายวันทั่วไป
ผังบัญชี (Chart of Account)
เป็นชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีที่กิจการกำหนดขึ้นก่อนจะทำการวิเคราะห์รายการค้า
สำหรับเลขที่บัญชีมีไว้เพื่อใช้ในการอ้างอิงเวลาผ่านบัญชีไปสมุดบัญชีแยกประเภท
และเพื่อความสะดวกในการบันทึกข้อมูลและการอ้างอิงรวมทั้งในการสรุปจำนวนเงินของแต่ละรายการ
เลขที่บัญชีอาจจะมีตัวเลขหลายๆ หลัก ขึ้นอยู่กับความใหญ่เล็กของกิจการ เช่น
ถ้ากิจการมีเลขที่บัญชี 3 หลัก หลักที่ 1 หมายถึงประเภทบัญชี
หลักที่ 2 หมายถึงหมวดหมู่บัญชี และหลักที่ 3 หมายถึงจำนวนบัญชี เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
หลักที่ 1 ประเภทบัญชี มีดังนี้
สินทรัพย์
แทนตัวเลข 1
หนี้สิน แทนตัวเลข 2
ทุน แทนตัวเลข 3
รายได้ แทนตัวเลข 4
ค่าใช้จ่าย แทนตัวเลข
5
หลักที่ 2 หมวดหมู่บัญชีมีดังนี้
สินทรัพย์หมุนเวียน
แทนตัวเลข 1 เช่น 11
เงินลงทุนระยะยาว
แทนตัวเลข 2
เช่น 12
หนี้สินระยะยาว แทนตัวเลข 2
เช่น 22
หลักที่ 3 จำนวนบัญชี กำหนดเรียงลำดับตาม
ประเภทบัญชีและหมวดหมู่บัญชี เช่น
บัญชีเงินสด เลขที่ 111
บัญชีลูกหนี้การค้า เลขที่ 112
บัญชีทุน เลขที่ 311
ในการกำหนดเลขที่บัญชี โดยปกติ
จะใช้เลขที่บัญชีเป็นตัวเลข โดย
บัญชีประเภทสินทรัพย์ จะขึ้นต้นด้วยเลข 1 เช่น
บัญชีเงินสด 111
บัญชีลูกหนี้การค้า
112
บัญชีประเภทหนี้สิน จะขึ้นต้นด้วยเลข 2 เช่น
บัญชีเจ้าหนี้การค้า 211
บัญชีเจ้าหนี้เงินกู้ 221
บัญชีประเภททุน จะขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น
บัญชีทุน 311
บัญชีเงินถอน 312
บัญชีประเภทรายได้ จะขึ้นต้นด้วยเลข 4 เช่น
บัญชีรายได้ค่าบริการ 411
บัญชีรายได้ดอกเบี้ย 412
บัญชีประเภทค่าใช้จ่าย จะขึ้นต้นด้วยเลข 5 เช่น
บัญชีเงินถอน 512
บัญชีค่าโทรศัพท์
513
วิธีการบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไป
มีขั้นตอนดังนี้
ทางด้านเดบิต
หรือเครดิต มากกว่า 1 บัญชี
การผ่านบัญชีจากสมุดรายวันไปสมุดบัญชีแยกประเภท
หมายถึง การนำรายการบัญชีที่ได้บันทึกไว้แล้วในสมุดรายวันทั่วไปด้านเดบิต
และเครดิตไปบันทึกในสมุดบัญชีแยกประเภท มีขั้นตอนดังนี้
1. เขียนชื่อบัญชีแยกประเภทนั้นเพื่อให้ทราบว่าบัญชีนั้นคือบัญชีอะไร
เช่น บัญชีเงินสด บัญชีลูกหนี้การค้า บัญชีทุน- นายพิทักษ์
เป็นต้น
2. เขียนเลขที่บัญชีของบัญชีนั้นๆ
บนด้านขวามือของบัญชีแยกประเภท เช่น บัญชีเงินสด เลขที่ 111
3. บันทึก
วัน เดือน ปี ที่ผ่านรายการนั้นจากสมุดรายวันลงในบัญชีแยกประเภท
4. บันทึกตัวเลขจำนวนเงินทางด้านเดบิต
ไปยังด้านซ้ายของบัญชีแยกประเภทที่เดบิต
5. บันทึกตัวเลขจำนวนเงินทางด้านเครดิตไปยังด้านขวาของบัญชีแยกประเภทที่เครดิต
6. เขียนอธิบายรายการด้วยชื่อบัญชีที่ตรงข้ามกับบัญชีที่เกี่ยวข้องในช่องรายการในช่องรายการในกรณีที่มีรายการร่วม
ซึ่งมีบัญชีตรงข้ามหลายบัญชีให้เขียนในช่องรายการด้วยคำว่า “บัญชีต่างๆ”
7. เขียนเลขที่บัญชีแยกประเภทในช่องอ้างอิงในสมุดรายวันทั่วไป
8. เขียนเลขที่หน้าบัญชีในสมุดราวันทั่วไป
ในช่องอ้างอิงของบัญชีแยกประเภท เช่น รว.1 คือ
สมุดรายวันทั่วไป หน้า 1
การคำนวณหายอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท
การคำนวณหายอดคงเหลือ
หมายถึง การคำนวณหายอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภทเพื่อนำยอดที่ได้ไปจัดทำงบทดลอง
การคำนวณหายอดคงเหลือในบัญชีแยกประเภท มีขั้นตอนดังนี้
1. ให้รวมจำนวนเงินทางด้านเดบิต
และเขียนจำนวนเงินที่รวมได้ด้วยดินสอไว้ใต้รายการสุดท้าย ในช่องจำนวนเงินด้านเดบิต
2. ให้รวมจำนวนเงินทางด้านเครดิต
และเขียนจำนวนเงินที่รวมได้ด้วยดินสอไว้ใต้รายการสุดท้าย ในช่องจำนวนเงินด้านเครดิต
3. ถ้าบัญชีใดมีจำนวนเดียวก็ไม่ต้องรวมยอด
4. ให้คำนวณหาผลต่างระหว่างยอดรวมด้านเดบิต และด้านเครดิต
ถ้ายอดรวมทางด้านเดบิตสูงกว่าเครดิต เรียกว่ายอดคงเหลือด้านเดบิต
ให้ใส่ยอดคงเหลือไว้ในช่องรายการหน้าจำนวนเงินรวมทางด้านเดบิต
และเช่นเดียวกันในกรณีที่ยอดรวมทางด้านเครดิตสูงกว่าเดบิตเรียกว่ายอดคงเหลือทางด้านเครดิต
ก็ให้ใส่ยอดคงเหลือไว้ในช่องรายการหน้าจำนวนเงินรวมทางด้านเครดิต
งบทดลอง
เป็นงบที่จัดทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องเบื้องต้นของการบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไป
ขั้นตอนต่างๆ ในการจัดทำงบทดลอง มีดังนี้
1. เขียนส่วนหัวงบทดลอง
ซึ่งประกอบด้วย ชื่อกิจการ ชื่องบทดลอง และ วัน เดือน
ปี ที่จัดทำ
2. ตัวงบทดลองมี 3 ช่อง คือ ชื่อบัญชี
จำนวนเงินด้านเดบิต และจำนวนเงินด้านเครดิต
3. นำยอดคงเหลือจากบัญชีแยกประเภทมาใส่ในงบทดลอง
โดยบัญชีใดมียอดคงเหลือด้านเดบิตใส่ในช่องเดบิต
และบัญชีใดมียอดคงเหลือด้านเครดิตใส่ในช่องเครดิต
บัญชีใดไม่มียอดคงเหลือไม่ต้องนำมาลงในงบทดลอง
4. เรียงตามลำดับประเภทของบัญชี
เริ่มจากสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ รายได้ และค่าใช้จ่าย
5. รวมยอดทางด้านเดบิต
และด้านเครดิต ทั้งสองด้านต้องเท่ากัน
ขั้นตอนการบันทึกบัญชีและการวิเคราะห์รายการค้า
1. การบันทึกรายการค้าในสมุดบันทึกรายการขั้นต้น
เรียกว่า สมุดรายวัน (Journal) โดยเรียงลำดับตามวันที่ที่เกิดรายการค้า
ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 สมุดรายวันทั่วไป (General Journal) เป็นสมุดบันทึกรายการขั้นต้นที่บันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
รวมทั้งการปรับปรุงรายการ การเปิดบัญชี การปิดบัญชี การกลับรายการ ลักษณะของสมุดรายวันทั่วไป
1.2 สมุดรายวันเฉพาะ (Special Journal) เป็นสมุดบันทึกรายการขั้นต้นที่ใช้บันทึกแต่ละรายการค้าโดยเฉพาะตามประเภทที่ระบุไว้
โดยบันทึกรายการที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไว้ด้วยกัน
หากมีรายการค้าเกิดขึ้นที่ไม่ใช่ประเภทเดียวกับที่จะสามารถบันทึกไว้ในสมุดรายวันเฉพาะแต่ละเล่มได้ก็จะบันทึกไว้ในสมุดรายวันทั่วไป
สมุดรายวันเฉพาะได้แก่
- สมุดรายวันรับเงิน
- สมุดรายวันจ่ายเงิน
- สมุดรายวันซื้อ
- สมุดรายวันขาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น